บทนำ(Introduction)
![]() |
การแบ่งสารละลายตามสมบัติการนำไฟฟ้า |
นิยามของกรด-เบส(Definition of Acids and Bases)
ในอดีตมีการค้นคว้าเกี่ยวกับนิยามของกรดและเบสอย่างจริงจังและมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ตั้งทฤษฎีและนิยามของกรดและเบสขึ้น โดยมีนิยามที่สำคัญทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้
1. นิยามของอาร์เรเนียส
![]() |
Svante August Arrhenius |
ค.ศ. 1884 S.Arrhenius ชาวสวีเดน ให้นิยามของกรดและเบสไว้ว่า " กรด คือสารละลายลิเล็กโทรไลต์ที่ละลายน้ำแล้วให้โปรตอน(H+ )และเบส คือสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่ละลายน้ำแล้วให้ไฮดรอกไซด์ไอออน>OH- ) "
ตัวอย่างเช่น
ข้อจำกัดของนิยามของอาร์เรเนียส
1.ตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ได้เฉพาะสารที่ละลายน้ำได้เท่านั้น
2.ไม่สามารถตรวจสอบความเป็นกรด-เบสของสารที่ไม่มี H หรือ OH อยู่ในโมเลกุล
2.นิยามของเบรินสเตด-ลาวรี
Johannes Nicolaus Bronsted |
![]() |
Thomas Martin Lowry |
ตัวอย่าง
คู่กรด-เบส(Conjugated acid-base pair) คือ
ข้อจำกัดของนิยามของเบรินสเตด-ลาวรี
1.ตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ได้เฉพาะสารที่มี H อยู่ในโมเลกุล
3.นิยามของลิวอีส
![]() |
Gilbert Newton Lewis |
ค.ศ.1923 G.Lewis ได้เสนอนิยามของกรด-เบส จากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน(Electron transfer) ว่า "
ประเภทของกรดและเบส(Type of acids and bases)
กรด(Acid)อาจแบ่งตามแหล่งกำเนิดเป็น 2 ประเภท
1. กรดอินทรีย์(Organic Acid) หมายถึงกรดที่มีหมู่คาร์บอกซิล( COOH) หรือซัลโฟนิล ( -SO3H)
เช่น กรดฟอร์มิก( HCOOH) , กรดแอซิติก(CH3COOH) , กรดเบนซีลซัลโฟนิก
(C6H5SO3H)
2. กรดอนินทรีย์(Inorganic Acid) หมายถึงกรดที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต แบ่งได้ 2 ประเภท
2.1 กรดไฮโดร (Hydro acid ) คือ กรดที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกับอโลหะอื่นที่ไม่ใช่ออกซิเจน
เช่น HF , HBr , HCl , HCN , H2S , HI
2.2 กรดออกซีหรือออกโซ(Oxy acid or Oxo acid ) คือกรดที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน ออกซิเจนและ อโลหะอื่น
เช่น H2CO3 , H2SO4 , HNO3 , H2PO4
1. กรดโมโนโปรติก (Monoprotic Acid) คือ กรดกที่แตกตัวได้ H+ แค่ครั้งเดียว เช่น HBr, HCl เป็นต้น
2. กรดไดโปรติก (Diprotic acid) หมายถึง กรดที่แตกตัวได้ H+ สองครั้ง เช่น H₂SO₄, H₂Se เป็นต้น
3. กรดโพลีโปรติก (Polyprotic acid) หมายถึง หมายถึง กรดที่แตกตัวได้ H+ ได้หลายครั้ง เช่น H₃PO₄ เป็นต้น เบส (Base) แบ่งเป็น 2 ประเภท
2. อนินทรีย์เบส(Inorganic Base) คือเบสที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่เบสที่เป็นสารประกอบไฮดรอกไซด์ เช่น KOH , NaOH
การแตกตัวของกรด-เบส(Dissociation of Acids and Bases)
1.ความแรงของกรดและเบส คือ ความยากง่ายในการแตกตัวให้โปนตอน โดยสารละลายอิเล็กโทรไลต์แบ่งออกเป็น
1.1 สารละลายอิเล็กโทรไลต์แก่ ( Strong Electrolyte ) คือ สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้มาก จึงนำไฟฟ้าได้ดีตามไปด้วย ไม่เกิดสมดุลไอออน ได้แก่ กรดแก่ เบสแก่ หรือ กรดเบสที่สามารถแตกตัวได้ 100% และเกลือ
กรดแก่ ได้แก่ HCl , HNO3 , H2SO4 , HBr , HI , HClO4
เบสแก่ ได้แก่ LiOH , NaOH , KOH , Ca(OH)2 , Ba(OH)2 , RbOH
1.2 สารละลายอิเล็กโทรไลต์อ่อน ( Weak Electrolyte ) สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้ไม่มาก จึงนำไฟฟ้าได้ไม่ดี เกิดสมดุลของการแตกตัวของไอออนเช่น HF, NH₃, CH₃COOH เป็นต้น
2.การพิจารณาความแรงของกรดและเบส
2.1 ร้อยละการแตกตัว การเปรียบเทียบร้อยละการแตกตัวของสารจะต้องเปรียบเทียบที่อุณหภูมิเดียวกันโดยอิเล็กโทรไลต์แก่จะแรงกว่าอิเล็กโทรไลต์อ่อน
1.1 สารละลายอิเล็กโทรไลต์แก่ ( Strong Electrolyte ) คือ สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้มาก จึงนำไฟฟ้าได้ดีตามไปด้วย ไม่เกิดสมดุลไอออน ได้แก่ กรดแก่ เบสแก่ หรือ กรดเบสที่สามารถแตกตัวได้ 100% และเกลือ
กรดแก่ ได้แก่
1.2 สารละลายอิเล็กโทรไลต์อ่อน ( Weak Electrolyte ) สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้ไม่มาก จึงนำไฟฟ้าได้ไม่ดี เกิดสมดุลของการแตกตัวของไอออนเช่น HF, NH₃, CH₃COOH เป็นต้น
2.การพิจารณาความแรงของกรดและเบส
กรด ที่มีร้อยละการแตกตัวมากกว่าจะเป็นกรดที่มีความแรงมากกว่า(เป็นกรดที่แก่มากกว่า)
2.2
กรด ถ้าค่า Ka มากจะเป็นกรดที่มีความแรงมากกว่า หรือเป็นกรดที่แก่มากว่า
เบส ถ้าค่า Kb มากจะเป็นเบสที่มีความแรงมากกว่าหรือเป็นเบสที่แก่มากกว่า
3. ถ้าไม่ทราบค่าร้อยละการแตกตัว และไม่ทราบค่า Ka และ Kb ให้พิจารณาจากสูตรโมเลกุลของกรดหรือเบส
กรดที่สามารถให้ H+ ได้ดีจะเป็นกรดที่แรงมากกว่า
1. กรดไฮโดร(HnX) เมื่อ n คือจำนวนอะตอมของ H และ X คือ อโลหะ
เช่น HF , HCl , HBr , HI ให้พิจารณาจากค่า EN ของอโลหะ เมื่อเปรียบเทียบค่า EN ของ F , Cl , Br , I จะเห็นได้ว่า ค่า EN ของ F > Cl > Br > I ดังนั้นกรด HF จึงเป็นกรดที่ให้ H+ ได้น้อยที่สุด
2. กรดออกโซ(H-O-Z) เมื่อ Z คืออโลหะ
เช่น HOCl , HOBr , HOI ความแรงของกรดจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่า EN อโลหะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเรียงลำดับความแรงของกรดคือ HOCl > HOBr > HOI (เพราะ ค่า EN ของ Cl > Br > I)
กรณีที่กรดออกโซมี Z เป็นธาตุชนิดเดียวกัน ความแรงของกรดจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนออกซิเจน เช่น HClO4 > HClO3 > HClO2 > HClO
3.การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่
กรดแก่และเบสแก่แตกตัวได้ 100 %
ตัวอย่างเช่น จงหาความเข้มข้นของ H+ ที่ได้จาการแตกตัวของ HBr 0.5 M
4.การแตกตัวของกรดอ่อนและเบสอ่อน
กรดอ่อนและเบสอ่อนเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวไม่หมด เกิดสมดุลขึ้น
จากสมการ NH3 + H2O ↔ NH4+ + OH-
ค่าคงที่สมดุล Kc = [NH4+][OH-]
[NH3][H2O]เเต่ [H₂O] เปลี่ยนเเปลงน้อยมาก จะได้ว่า Kb = [NH4+][OH] หรือ ค่าคงที่การเเตกตัว
[NH3]
ของเบสอ่อน กรดอ่อนก็เช่นเดียวกันจะได้ Ka = [H3O+][CH3COO-] หรือ ค่าคงที่การแตก [CH3COOH]
ตัวของกรดอ่อน ตัวอย่างเช่น จงหาความเข้มข้นของ OH- ที่ได้จาการแตกตัวของ NH3 0.2 M กำหนดค่า Kb ของแอมโมเนีย เท่ากับ 1.8x10ˉ⁵
5.การแตกตัวของน้ำ
น้ำเป็นสารละลายประเภท Amphoteric คือมีสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบสจากสมการดังนี้
จากความสัมพันธ์ดังกล่าวจะทำให้สามารถหา ความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออนจากการแตกตัวของกรดได้ ดังนี้
6.การคำนวนค่า pH และ pOH ของสารละลาย
การหา pH ของสารละลายได้จากกการนำความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน มา take - log จะได้ pH = -log [H+ ]
ส่วนเบสจะมีค่าความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออน ก็ take - log จะได้เป็น
pOH = -log [OH- ] แล้วนำ pOH มาหาค่า pH โดย
pH = 14 - pOH
โดยค่า pH นี่สามารถระบุได้ว่าสารชนิดนั้นมีสมบัติเป็นกรด , เบส หรือ เป็นกลาง
ถ้ามี pH มากกว่า 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นเบส
ถ้ามี pH เท่ากับ 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นกลาง
ถ้ามี pH น้อยกว่า 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นกรด
7.การแตกตัวของกรดหลายโปรตอน
กรดหลายโปรตอนคือกรดที่สามารถแตกตัวให้โปรตอนได้มากกว่า 1 ครั้ง เพราะในแต่ละครั้งจะแตกได้ 1 โปรตอน การแตกตัวครั้งที่ 2 หลังจากการแตกตัวครั้งแรกจะแตกตัวได้ยากกว่า เพราะ กรดจะพยายามรักษาโปรตอนที่เหลือเอาไว้ ทำให้ Ka ครั้งที่ 2 น้อยกว่าครั้งที่1 คำนวนได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส(Reaction of Acids and Bases)
1. ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่ HCl กับเบสแก่ KOH ได้เกลือ KCl และน้ำ ดังนี้
HCl (aq) + KOH (aq) --> KCl (aq) + H2O (l)
2. ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่ HCl กับเบสอ่อน NH 4OH ได้เกลือ NH4Cl และน้ำ
HCl (aq) + NH4OH (aq) --> NH4Cl (aq) + H2O (l)
3. ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรด CH3COOH และเบส NaOH ได้เกลือโซเดียมแอซิเตต (CH 3COONa) และน้ำ
CH3COOH (aq) + NaOH (aq) --> CH3COONa (aq) + H2O (l)
4. ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสอ่อน เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรด HCN กับเบส NH4OH ได้เกลือ NH 4CN และน้ำ
HCN (aq) + NH4OH (aq) --> NH4CN (aq) + H2O (l)
1. ในกรณีกรดและเบสทำปฏิกิริยากันแล้วมีกรดหรือเบสเหลืออยู่ ถ้ามีกรดเหลืออยู่สารละลายแสดงสมบัติเป็นกรด ถ้ามีเบสเหลืออยู่สารละลายก็จะแสดงสมบัติเป็นเบส
2. ถ้ากรดกับเบสทำปฏิกิริยากันหมดพอดี ได้เกลือกับน้ำ สารละลายของเกลือที่ได้จากปฏิกิริยา จะแสดงสมบัติเป็นกรด เบส หรือกลาง ขึ้นอยู่กับชนิดของเกลือนั้นว่ามาจากกรดและเบสประเภทใด ทั้งนี้เพราะเกลือแต่ละชนิดจะเกิดการแตกตัวและทำปฏิกิริยากับน้ำ เรียกว่า ไฮโดรไลซีส(Hydrolysis) ซึ่งจะทำให้สารละลายแสดงสมบัติกรด- เบสต่างกัน
1. เกลือจากปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส
กรดแก่ + เบสแก่ ได้ เกลือกลาง
กรดแก่ + เบสอ่อน ได้ เกลือกรด
กรดอ่อน + เบสแก่ ได้ เกลือเบส
กรดอ่อน + เบสอ่อน ได้ เกลือกรด หรือ เกลือเบส ขึ้นอยู่กับค่า Ka และ Kb ของกรดอ่อนหรือเบสอ่อนจะมากกว่า
เกลือที่ได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส เมื่่ออยู่ในน้เกลือจะแตกตัวออกมา แล้วไอออนที่แตกตัวออกมาจากเกลือจะไปรวมตัวกับน้ำทำให้น้ำแตกตัวแล้วทำปฏิกิริยากลายเป็นกรดและเบสตัวเดิม แต่ถ้าเป็นไอออนที่แตกตัวมาจากเกลือกลาง หรือ ไอออนที่เป็นไออนของกรดแก่และเบสแก่ จะไม่สามารถทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสได้ เพราะเป็นไอออนที่ละลายน้ำ สามารถเขียนสมการได้ดังนี้
การคำนวนการไฮโดรไลซิสของไอออนนั้น เราจะทราบค่าคงที่การแตกตัวของคู่กรด หรือ คู่เบสของไอออนนั้น อย่างเช่นตัวอย่างข้างบน เราจะทราบ Ka ของ CH3COOH แต่ไม่ทราบ Kb ของ CH3COO- ซึ่งเป็นคู่เบสของ CH3COOH ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์ ของค่า Ka กับ ค่า Kb คู่เบสดังนี้
Kw = (Kb)(Ka คู่กรดของเบสตัวนั้น)
หรือ Kw = (Ka)(Kb คู่เบสของกรดตัวนั้น)
สารละลายบัฟเฟอร์ (ฺีBuffer Solutions)
สารละลายบัฟเฟอร์ (buffer solution)หมายถึงสารละลายของกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อน หรือคู่เบสของกรดอ่อน หรือหมายถึงสารละลายของเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อนหรือคู่กรดของเบสอ่อนนั้น
สมบัติของสารละลายบัฟเฟอร์ คือ รักษาสภาพ PH ของสารละลายเอาไว้โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่จำนวนเล็กน้อยลงไปการเตรียม ทำได้โดยการเติมกรดอ่อนลงในสารละลายเกลือของกรดอ่อน หรือการเติมเบสอ่อนลงในสารละลายเกลือของเบสอ่อน
1.การคุมค่า pH ของบัฟเฟอร์
บัฟเฟอร์Aมีสาร CH3COOH กับ CH3COO- อยู่ในระบบ
ถ้าใส่กรดลงไป HCl จะแตกให้ H+ แต่จะถูกสะเทินด้วยคู่เบส
CH3COO- + H+ ↔ CH3COOH
ถ้าใส่เบสลงไป NaOH จะแตกตัวให้ OH- แต่จะถูกสะเทินด้วยคู่กรด
CH3COOH + OH-↔ CH3COO- + H2O
2.การผสมสารละลายบัฟเฟอร์
2.1 วิธีตรง
1. นำกรดอ่อน + คู่เบสของกรดอ่อนนั้น
2. นำเบสอ่อน + คู่กรดของเบสอ่อนนั้น
2.2 วิธีอ้อม
1.นำเกลือของกรดอ่อน + กรดแก่ โดย เกลือของกรดอ่อนต้องเหลือในระบบ ส่วน กรดแก่หมด
2.นำเกลือของเบสอ่อน + เบสแก่ โดย เกลือของเบสอ่อนต้องเหลือในระบบ ส่วน เบสแก่หมด
อินดิเคเตอร์สำหรับกรด-เบส (Indicators for Acids and Bases)
Indicator | pH Range | Acid | Base |
Thymol Blue | 1.2-2.8 | red | yellow |
Methyl yellow | 2.9-4.0 | red | yellow |
Methyl orange | 3.1-4.4 | red | orange |
Bromphenol blue | 3.0-4.6 | yellow | blue-violet |
Tetrabromphenol blue | 3.0-4.6 | yellow | blue |
Methyl red | 4.4-6.2 | red | yellow |
Bromphenol blue | 6.2-7.6 | yellow | blue |
Phenol red | 6.4-8.0 | yellow | red |
Cresol red | 7.2-8.8 | yellow | red |
ตารางแสดงการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์
การไทเทรต(Titration)
1.ปิเปตต์ Unknown มาใส่ในฟลาสก์(ขวดลูกชมพู่)
2.นำ Unknown ไปไทไทรต
1.จุดยุติและจุดสมมูล
จุดสมมูล หรือ จุดสะเทิน (Equivalence point) คือ คือจุดที่สารตั้งต้นทำปฏิกิริยากันพอดี
จุดยุติ (End point) คือจุดที่หยุดการไทเทรต ซึ่งก็คือจุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด-เบสอยู่ จุดยุติจะใกล้เคียงกับจุดสมมูลได้นั้น จะ ต้องเลือกอินดิเคเตอร์เหมาะสมในทางปฏิบัติถือว่าจุดยุติ เป็นจุดเดียวกับจุดสมมูล
2.กราฟของการไทเทรต
![]() |
กราฟการไทเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ |
![]() |
กราฟการไทรเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน |
![]() |
กราฟการไทรเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ |
บันทึกหลังคาบเรียน เทอม2/2553 Organic Chemistry
คาบเรียนที่ 1 วันศุกร์ ที่ 29 ต.ค. 2553 "เปิดบทละคร เรื่อง เคมีอินทรีย์"
เรื่องย่อ : วิชาที่ว่าด้วยสารประกอบของ C อยู่ในธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบของ สมชว.
ผู้แต่ง (บิดา Or Chem): เฟรดริค วอเลอร์ (Frieddrick Wohler) *จำนะจ๊ะ
ผลงาน ชิ้นสำคัญ ของผู้แต่ง: สังเคราะห์ Urea(อินทรีย์) ได้จาก Ammonium cyanate(อนินทรีย์) เมื่อปี 1852
พระเอกของเรื่อง : Carbon (C)
พระรอง(เบ๊พระเอก) : Hydrogen (H)
ตัวประกอบ : O,N,S,P,F,Cl,Br,I
เกี่ยวกับละคร : มี 3 ตอน
ตอนที่1 เฉพาะอะตอมของ C และ H
ตอนที่2 C ที่มีหมู่ฟังก์ัชัน
ตอนที่3 สารชีวโมเลกุล
รู้จักกับพระเอก :
Carbon (C)
-เกาะ(สร้างพันธะ) กับธาตุอื่นได้ 4 พันธะ
-เกาะกันเอง ได้ 3 พันธะ
-ต่อกันเป็นโซ่ยาวๆ(โซ่เปิด) เรียก Chain
-ต่อกันเป็นวง(โซ่ปิด) เรียก Ring
-ต่อกันยาวๆแล้วมีกี่ก้านสาขาออกจากโซ่หลัก เรียก Branch
-มีการจัดเรียงแบ
การเกิดพันธะ : เกิดจากความอยากเสถียร(พลังงานต่ำๆ)ของธาตุหมู่ต่างๆ (ยกเว้นหมู่ 8)
การเกิด Hybridization : การจัดเรียงของ e- และการรวมออร์บิทอลจากชั้น 2s และ 2p กันใหม่เวลาเกิดพันธะ
มี 3 แบบ
1.แบบ sp3 (Alkanes)
เป็นการรวมออร์บิทอล จาก 2s 1 ออร์บิทอล และ 2px 2py 2pz จำนวน 3 ออร์บิทอล เป็น 4 ออร์บิทอล อยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน เรียก ทั้ง4 ออร์บิทอลที่สร้างพันธะเดี่ยวว่า พันธะซิกมาและเรียก e- ที่มาสร้างพันธะ่ว่า อิลเ็ลตรอนซิกมา
ตัวอย่าง Methane ( CH4 )
![]() | |
โครงสร้างแบบ |
Single Bond = 1 ซิกมา
2.แบบ sp2 (Alkenes)
เป็นการรวมออร์บิทอล จาก 2s 1 ออร์บิทอล และ 2px 2py จำนวน 2 ออร์บิทอล เป็น 3 ออร์บิทอล อยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน ส่วน 2pz ไว้สร้างพันธะที่เรียกว่า พันธะไพ และ e- ที่ใช้สร้างพันธะเรียก อิเล็กตรอนไพ
ตัวอย่าง Ethene ( C2H4 )
![]() |
โครงสร้างแบบ sp2 มี Double Bond |
Double Bond = 1 ซิกมา 1 ไพ
![]() |
โครงสร้างแบบ sp มี Triple Bond |
Triple Bond = 1 ซิกมา 2 ไพ
สรุปเล็กๆ
- พันธะซิกมา
ของ C-H สั้นและแข็งแรงกว่า C-C
- จำนวนพันธะมาก
ความแข็งแรงมาก แต่ความยาวจะน้อย
- พันธะไพ
อ่อนแอกว่าพันธะซิกมา
ทบทวนแรงระหว่างโมเลกุลจ้าา
1. แวนเดอร์วาลส์
แบบลอนดอน (แรงของโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว)
2. ไดโพล-ไดโพล (แรงของโคเวเลนต์มีขั้ว)
3. พันธะไฮโดรเจน
(แรงระหว่าง H กับ
F,O,N )
การเขียนสูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์ (ต.ย. หน้า 7) มี
4 แบบ ได้แก่
1.สูตรโมเลกุล-บอกว่าประกอบด้วยธาตุอะไร? อย่างละเท่าไหร่?
2.สูตรแบบจุด-แสดงการจับกันว่า
ธาตุตัวไหนจับกับตัวไหน? กี่แขน? ยังไง?
3.สูตรแบบย่อ-เขียนแบบย่อๆติดกันเป็นแถบ
คาบเรียนที่ 2
วันอังคาร ที่ 2 พ.ย. 2553
"Properties-Isomerism-Classification-Reaction-Bond Forming and cleavage"
สมบัติทางกายภาพกับสูตรงโครงสร้าง
1.Melting-Boiling
Point
เป็นการกระทำกันภายในตัวเอง(สารอื่นอย่ามายุ่ง)
พลังงานที่เข้าไปจะไปทำลาย แรงยึดระหว่างโมเลกุลเท่านั้น
ไม่ได้ทำให้พันธะหรือแรงยึดภายในโมเลกุลแตกออก
เป็นผลให้สารนั้นยังตงเป็นสารเดิมเปลี่ยนเพียงแค่สถานะเท่านั้น
2.Solubility
การละลายเกิดจาสภาพขั้วเหมือนกัน
สรุปได้
1.ไม่มีขั้วละลายกับไม่มีขั้ว
2.มีขั้วละลายกับมีขั้ว
3.ถ้ามีขั้วละลายแล้วเกิดพันธะH ถือว่า ละลายได้ดีมาก
Isomerism
1. Structural Isomer
- สูตรโมเลกุลเหมือน สูตรโครงสร้างต่าง แบ่งเป็น
-
Skeleton
isomer
-
Positional isomer
-
Functional isomer
2. Stereo Isomer
- สูตรโมเลกุลเหมือน สูตรโครงสร้างเหมือน
การเรียงตัวของ C ต่าง แบ่งเป็น
-Enantiomer
(เป็นเงาซึ่งกันและกัน แต่เงาไม่ทับกัน)
-Diasteriomer
(ไม่เป็นเงาซึ่งกันและกัน)
ประเภทของสารประกอบคาร์บอน
1. ลักษณะของการเกิดปฏิกิริยาเป็นเกณฑ์
- Saturated Hydrocarbon (อิ่มตัว) เป็นพันธะเดี่ยวทั้งหมด
- Unsaturated Hydrocarbon (ไม่อิ่มตัว) มีพันธะ
อย่างน้อย 1 พันธะ
2. ใช้โครงสร้างเป็นเกณฑ์
-Aliphatic Hydrocarbon (โซ่เปิด)
-
Straight Chain Structure (โซ่ตรง)
- Branch
Chain Structure (โซ่กิ่ง)
-Alicyclic Hydrocarbon (โซ่ปิด) C ทุกตัวในวงมีค่าเท่ากัน เมื่อไม่มีหมู่ฟังก์ชันเกาะ
-Aromatic Hydrocarbon (โซ่ปิดพิเศษ) เสถียรสุดๆ เพราะ เกิดเรโซแนนซ์ได้
จากสมการ จำนวน(e-
= 4n+2
หาก
n
I+
สรุปว่า วง C
ที่เป็นโซ่ปิดนี้ เป็น Aromatic
-Heterocyclic (ในวงมีอย่างน้อย
1 มุม ที่ไม่ใช่ C)
3. ใช้หมู่ฟังก์ชันเป็นเกณฑ์
หมู่ฟังก์ชันใช้ในการเรียกชื่อและจัดหมู่สารอินทรีย์
![]() |
หมู่ฟังชันเรียงตามความสำคัญ |
Organic Reaction มี 6 ประเภท ได้แก่
1.ปฏิกิริยาการแทนที่ (Substitution
Reaction) พบเฉพาะสารประกอบยคาร์บอนที่อิ่มตัวแล้ว
2.ปฏิกิริยาการเติม (Addition
Reaction) พบในสารประกอยคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัว เช่น Alkene, Alkyne
3.ปฏิกิริยาการขจัดออก (Elimination
Reaction) การดึงเอาอะตอมใดๆออกจากโมเลกุล
4.ปฏิกิริยาการจัดเรียงตัวใหม่ (Rearrangement
Reaction) การจัดเรียงตัวใหม่ในสภาวะที่เหมาะสม
แต่สูตรโมเลกุลเหมือนเดิม
5.ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน (Polymerization
Reaction) ทำให้สารประกอบ C มีโมเลกุลใหญ่ขึ้นโดยมีหมู่ซ้ำกัน
6.ปฏิกิริยาการแตกตัว (Cracking
Reaction) การแตกตัวให้สารประกอบ C จากโมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็ก
การสร้างพันธะและการทำลายพันธะ(Bond
Forming and Bond Cleavage)
การสร้างพันธะ
1.สร้างพันธะแบบเสมอภาค(Homolytic
Forming) พันธะระหว่าง 2 อะตอม ใช้ e- อะตอมละ 1 ตัวร่วมกัน เกิด พันธะโคเวเลนต์ 1พันธะ
2.สร้างพันธะแบบไม่เสมอภาค(Heterolytic
Forming) พันธะระหว่าง 2 อะตอม โดยอะตอมหนึ่งให้ e- 2 ตัวกับอีกอะตอมหนึ่งที่มีออร์ยิทอลว่าง เกิด พันธะโคเวเลนต์ 1พันธะ
การสลายพันธะ
1.สลายพันธะแบบเสมอภาค(Homolytic
Cleavage) คืน e- กลับไปที่อะตอม
อะตอมละ 1 ตัว เกิด อนุมูลอิสระ (Free Radical)
2.สลายพันธะแบบไม่เสมอภาค(Heterolytic
Cleavage) การแตกพันธะโดยอะตอมที่ใช้ e- ร่วมกันอะตอมใดอะตอมหนึ่งดึง e- ไปทั้งคู่
เกิด อนุมูลประจุบวก (Cation) และอนุมูลประจุลบ (Anion) ขึ้นอยู่กับ EN เรียกว่าปฏิกิริยาไอออนิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น