วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

สมดุลไอออนของสารละลายอิเล็กโทรไลต์อ่อน (Ion Equilibrium of Weak Electrolyte Solutions)

บทนำ(Introduction)

การแบ่งสารละลายตามสมบัติการนำไฟฟ้า

นิยามของกรด-เบส(Definition of Acids and Bases)
        
                  ในอดีตมีการค้นคว้าเกี่ยวกับนิยามของกรดและเบสอย่างจริงจังและมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ตั้งทฤษฎีและนิยามของกรดและเบสขึ้น โดยมีนิยามที่สำคัญทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้

1. นิยามของอาร์เรเนียส

Svante August Arrhenius

                   ค.ศ. 1884 S.Arrhenius ชาวสวีเดน ให้นิยามของกรดและเบสไว้ว่า " กรด คือสารละลายลิเล็กโทรไลต์ที่ละลายน้ำแล้วให้โปรตอน(H+)และเบส คือสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่ละลายน้ำแล้วให้ไฮดรอกไซด์ไอออน>OH-) "

ตัวอย่างเช่น

ข้อจำกัดของนิยามของอาร์เรเนียส

1.ตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ได้เฉพาะสารที่ละลายน้ำได้เท่านั้น
2.ไม่สามารถตรวจสอบความเป็นกรด-เบสของสารที่ไม่มี H หรือ OH อยู่ในโมเลกุล 
 

2.นิยามของเบรินสเตด-ลาวรี   

Johannes Nicolaus Bronsted
 
Thomas Martin Lowry
              ค.ศ.1923 J. Bronsted ชาวเดนมาร์ก และ T.Lowry ชาวอังกฤษ ได้เสนอนิยามของกรด-เบสขึ้นมาว่า "กรด คือสารทีให้โปรตอน(Proton donor) และเบส คือสารที่รับโปรตอน(Proton acceptor) และเรียกปฏิกิริยาระหว่างกรด-เบสว่า )ฏิกิริยาถ่ายโอนโปรตอน(Proton transfer)     

ตัวอย่าง

คู่กรด-เบส(Conjugated acid-base pair) คือ สารที่มีจำนวนโปรตอนต่างกันอยู่ 1 โปรตอน จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า CH3COOH  เป็นคู่กรดของ  CH3COO- และ H2O เป็นคู่เบสของ H3O+ สังเกตว่า H2O มีทั้งคู่กรดและคู่เบส กล่าวคือ H2O สามารถให้และรับโปรตอนได้ เราจะเรียกสารที่มีสมบัติดังกล่าวว่่า แอมโฟเทอริก (Amphoteric species)

ข้อจำกัดของนิยามของเบรินสเตด-ลาวรี
1.ตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ได้เฉพาะสารที่มี H อยู่ในโมเลกุล

3.นิยามของลิวอีส
Gilbert Newton Lewis
                 
                   ค.ศ.1923 G.Lewis ได้เสนอนิยามของกรด-เบส จากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน(Electron transfer) ว่า " กรด คือสารที่รับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและ เบส คือสารที่ให้อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว"

ประเภทของกรดและเบส(Type of acids and bases)       

กรด(Acid)อาจแบ่งตามแหล่งกำเนิดเป็น 2 ประเภท
   
1. กรดอินทรีย์(Organic Acid) หมายถึงกรดที่มีหมู่คาร์บอกซิล( COOH) หรือซัลโฟนิล ( -SO3H)
            เช่น กรดฟอร์มิก( HCOOH) , กรดแอซิติก(CH3COOH) , กรดเบนซีลซัลโฟนิก 
(C6H5SO3H)

 2. กรดอนินทรีย์(Inorganic Acid) หมายถึงกรดที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต แบ่งได้ 2 ประเภท
   2.1 กรดไฮโดร (Hydro acid ) คือ กรดที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกับอโลหะอื่นที่ไม่ใช่ออกซิเจน
         เช่น    HF , HBr , HCl , HCN , H2S , HI

         2.2 กรดออกซีหรือออกโซ(Oxy acid or Oxo acid ) คือกรดที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน ออกซิเจนและอโลหะอื่น  
              เช่น H2CO3 , H2SO4 , HNO3 , H2PO4 
  
กรด(Acid)อาจแบ่งตาจำนวนโปรตอนใน1โมเลกุลได้เป็น 3 ประเภท

1. กรดโมโนโปรติก (Monoprotic Acid) คือ กรดกที่แตกตัวได้ H+ แค่ครั้งเดียว เช่น HBr, HCl เป็นต้น
2. กรดไดโปรติก (Diprotic acid) หมายถึง กรดที่แตกตัวได้ H+ สองครั้ง เช่น H₂SO₄, H₂Se เป็นต้น
3. กรดโพลีโปรติก (Polyprotic acid) หมายถึง หมายถึง กรดที่แตกตัวได้ H+ ได้หลายครั้ง เช่น H₃PO₄ เป็นต้น 
 
เบส (Base) แบ่งเป็น 2 ประเภท 

  1. อินทรีย์เบส(Organic Base) คือเบสที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น NH3

  2. อนินทรีย์เบส(Inorganic Base) คือเบสที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่เบสที่เป็นสารประกอบไฮดรอกไซด์ เช่น KOH , NaOH


การแตกตัวของกรด-เบส(Dissociation of Acids and Bases)  

1.ความแรงของกรดและเบส คือ ความยากง่ายในการแตกตัวให้โปนตอน โดยสารละลายอิเล็กโทรไลต์แบ่งออกเป็น

1.1 สารละลายอิเล็กโทรไลต์แก่ ( Strong Electrolyte ) คือ สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้มาก จึงนำไฟฟ้าได้ดีตามไปด้วย ไม่เกิดสมดุลไอออน ได้แก่ กรดแก่ เบสแก่ หรือ กรดเบสที่สามารถแตกตัวได้ 100% และเกลือ 

กรดแก่ ได้แก่ HCl , HNO3 , H2SO4 , HBr , HI , HClO4

เบสแก่ ได้แก่ LiOH , NaOH , KOH , Ca(OH)2 , Ba(OH)2 , RbOH

1.2 สารละลายอิเล็กโทรไลต์อ่อน ( Weak Electrolyte ) สารที่ใส่ในตัวทำละลายแล้ว แตกตัวออกมาได้ไม่มาก จึงนำไฟฟ้าได้ไม่ดี เกิดสมดุลของการแตกตัวของไอออนเช่น HF, NH₃, CH₃COOH เป็นต้น 

2.การพิจารณาความแรงของกรดและเบส 


2.1 ร้อยละการแตกตัว
                             การเปรียบเทียบร้อยละการแตกตัวของสารจะต้องเปรียบเทียบที่อุณหภูมิเดียวกันโดยอิเล็กโทรไลต์แก่จะแรงกว่าอิเล็กโทรไลต์อ่อน
กรด ที่มีร้อยละการแตกตัวมากกว่าจะเป็นกรดที่มีความแรงมากกว่า(เป็นกรดที่แก่มากกว่า)
 
เบส  เบสที่มีร้อยละการแตกตัวมากกว่าจะเป็นเบสที่มีความแรงมากกว่า(เป็นเบสที่แก่มากกว่า)


2.2 ค่า Ka  และค่า Kb


กรด  ถ้าค่า Ka มากจะเป็นกรดที่มีความแรงมากกว่า หรือเป็นกรดที่แก่มากว่า

เบส  ถ้าค่า Kb มากจะเป็นเบสที่มีความแรงมากกว่าหรือเป็นเบสที่แก่มากกว่า


3. ถ้าไม่ทราบค่าร้อยละการแตกตัว และไม่ทราบค่า Ka และ Kb ให้พิจารณาจากสูตรโมเลกุลของกรดหรือเบส

  เบสที่สามารถรับ OH -  ได้ดีจะเป็นเบสที่มีความแรงมากกว่า

กรดที่สามารถให้ H+ ได้ดีจะเป็นกรดที่แรงมากกว่า

1. กรดไฮโดร(HnX) เมื่อ n คือจำนวนอะตอมของ H และ X คือ อโลหะ
                    เช่น HF , HCl , HBr , HI ให้พิจารณาจากค่า EN ของอโลหะ เมื่อเปรียบเทียบค่า EN ของ F , Cl , Br , I จะเห็นได้ว่า ค่า EN ของ F > Cl > Br > I  ดังนั้นกรด HF จึงเป็นกรดที่ให้ H+ ได้น้อยที่สุด

 2. กรดออกโซ(H-O-Z) เมื่อ Z คืออโลหะ
                     เช่น HOCl , HOBr  , HOI ความแรงของกรดจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่า EN อโลหะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเรียงลำดับความแรงของกรดคือ HOCl  > HOBr  > HOI (เพราะ ค่า EN ของ Cl > Br > I)
            กรณีที่กรดออกโซมี  Z เป็นธาตุชนิดเดียวกัน ความแรงของกรดจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนออกซิเจน       เช่น HClO4  >  HClO3  > HClO2  >  HClO
 
3.การแตกตัวของกรดแก่และเบสแก่

กรดแก่และเบสแก่แตกตัวได้ 100 % 

ตัวอย่างเช่น จงหาความเข้มข้นของ H+ ที่ได้จาการแตกตัวของ HBr 0.5 M


 4.การแตกตัวของกรดอ่อนและเบสอ่อน

กรดอ่อนและเบสอ่อนเมื่อละลายน้ำจะแตกตัวไม่หมด เกิดสมดุลขึ้น 

จากสมการ  NH3 + H2O ↔ NH4+ + OH-

ค่าคงที่สมดุล Kc = [NH4+][OH-]
                           [NH3][H2O]
เเต่ [H₂O] เปลี่ยนเเปลงน้อยมาก จะได้ว่า     Kb =   [NH4+][OH] หรือ ค่าคงที่การเเตกตัว
                                                                             [NH3]
ของเบสอ่อน  กรดอ่อนก็เช่นเดียวกันจะได้  Ka =   [H3O+][CH3COO-] หรือ ค่าคงที่การแตก
                                                                                   [CH3COOH]
ตัวของกรดอ่อน                                                       
                                                                     

ตัวอย่างเช่น จงหาความเข้มข้นของ OH- ที่ได้จาการแตกตัวของ NH3 0.2 M  กำหนดค่า Kb ของแอมโมเนีย เท่ากับ 1.8x10ˉ


5.การแตกตัวของน้ำ
 น้ำเป็นสารละลายประเภท Amphoteric คือมีสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบสจากสมการดังนี้


       จากความสัมพันธ์ดังกล่าวจะทำให้สามารถหา ความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออนจากการแตกตัวของกรดได้ ดังนี้



6.การคำนวนค่า pH และ pOH ของสารละลาย

การหา pH ของสารละลายได้จากกการนำความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน มา take - log จะได้  pH = -log [H+ ]

ส่วนเบสจะมีค่าความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออน ก็ take - log จะได้เป็น
pOH = -log [OH- ]   แล้วนำ pOH มาหาค่า pH โดย
pH = 14 - pOH

โดยค่า pH นี่สามารถระบุได้ว่าสารชนิดนั้นมีสมบัติเป็นกรด , เบส หรือ เป็นกลาง
ถ้ามี pH มากกว่า 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นเบส
ถ้ามี pH เท่ากับ 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นกลาง
ถ้ามี pH น้อยกว่า 7 เเสดงว่าสารนั่นเป็นกรด 


7.การแตกตัวของกรดหลายโปรตอน


กรดหลายโปรตอนคือกรดที่สามารถแตกตัวให้โปรตอนได้มากกว่า 1 ครั้ง เพราะในแต่ละครั้งจะแตกได้ 1 โปรตอน การแตกตัวครั้งที่ 2 หลังจากการแตกตัวครั้งแรกจะแตกตัวได้ยากกว่า เพราะ กรดจะพยายามรักษาโปรตอนที่เหลือเอาไว้ ทำให้ Ka ครั้งที่ 2 น้อยกว่าครั้งที่1 คำนวนได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้


ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส(Reaction of Acids and Bases)



1. ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสแก่ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่ HCl กับเบสแก่ KOH ได้เกลือ KCl และน้ำ ดังนี้
HCl (aq) + KOH (aq) --> KCl (aq) + H2O (l)
 
2. ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรดแก่ HCl กับเบสอ่อน NH 4OH ได้เกลือ NH4Cl และน้ำ
HCl (aq) + NH4OH (aq) --> NH4Cl (aq) + H2O (l)
 
3. ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรด CH3COOH และเบส NaOH ได้เกลือโซเดียมแอซิเตต (CH 3COONa) และน้ำ
CH3COOH (aq) + NaOH (aq) --> CH3COONa (aq) + H2O (l)
 
4. ปฏิกิริยาระหว่างกรดอ่อนกับเบสอ่อน เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรด HCN กับเบส NH4OH ได้เกลือ NH 4CN และน้ำ
HCN (aq) + NH4OH (aq) --> NH4CN (aq) + H2O (l) 

       ปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบสในน้ำนี้จะทำให้สารละลายที่ได้แสดงสมบัติเป็นกรด เบส หรือกลางได้ ซึ่งพิจารณาได้เป็น 2 กรณี


1. ในกรณีกรดและเบสทำปฏิกิริยากันแล้วมีกรดหรือเบสเหลืออยู่ ถ้ามีกรดเหลืออยู่สารละลายแสดงสมบัติเป็นกรด ถ้ามีเบสเหลืออยู่สารละลายก็จะแสดงสมบัติเป็นเบส
2. ถ้ากรดกับเบสทำปฏิกิริยากันหมดพอดี ได้เกลือกับน้ำ สารละลายของเกลือที่ได้จากปฏิกิริยา จะแสดงสมบัติเป็นกรด เบส หรือกลาง ขึ้นอยู่กับชนิดของเกลือนั้นว่ามาจากกรดและเบสประเภทใด ทั้งนี้เพราะเกลือแต่ละชนิดจะเกิดการแตกตัวและทำปฏิกิริยากับน้ำ เรียกว่า ไฮโดรไลซีส(Hydrolysis) ซึ่งจะทำให้สารละลายแสดงสมบัติกรด- เบสต่างกัน

เกลือและปฏิกิริยาไฮโดรไลซีส(Salts and Hydrolysis reaction)

1. เกลือจากปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส

กรดแก่ + เบสแก่    ได้ เกลือกลาง
กรดแก่ + เบสอ่อน   ได้ เกลือกรด
กรดอ่อน + เบสแก่   ได้ เกลือเบส
กรดอ่อน + เบสอ่อน ได้ เกลือกรด หรือ เกลือเบส ขึ้นอยู่กับค่า Ka และ Kb ของกรดอ่อนหรือเบสอ่อนจะมากกว่า
2.ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส


            เกลือที่ได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส เมื่่ออยู่ในน้เกลือจะแตกตัวออกมา แล้วไอออนที่แตกตัวออกมาจากเกลือจะไปรวมตัวกับน้ำทำให้น้ำแตกตัวแล้วทำปฏิกิริยากลายเป็นกรดและเบสตัวเดิม แต่ถ้าเป็นไอออนที่แตกตัวมาจากเกลือกลาง หรือ ไอออนที่เป็นไออนของกรดแก่และเบสแก่ จะไม่สามารถทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสได้ เพราะเป็นไอออนที่ละลายน้ำ สามารถเขียนสมการได้ดังนี้



การคำนวนการไฮโดรไลซิสของไอออนนั้น เราจะทราบค่าคงที่การแตกตัวของคู่กรด หรือ คู่เบสของไอออนนั้น อย่างเช่นตัวอย่างข้างบน เราจะทราบ Ka ของ CH3COOH แต่ไม่ทราบ Kb ของ CH3COO- ซึ่งเป็นคู่เบสของ CH3COOH ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์ ของค่า Ka กับ ค่า Kb คู่เบสดังนี้
                     Kw = (Kb)(Ka คู่กรดของเบสตัวนั้น)  
หรือ               Kw = (Ka)(Kb คู่เบสของกรดตัวนั้น)  



สารละลายบัฟเฟอร์ (ฺีBuffer Solutions)




               สารละลายบัฟเฟอร์ (buffer solution)หมายถึงสารละลายของกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อน หรือคู่เบสของกรดอ่อน หรือหมายถึงสารละลายของเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อนหรือคู่กรดของเบสอ่อนนั้น
สมบัติของสารละลายบัฟเฟอร์ คือ รักษาสภาพ PH ของสารละลายเอาไว้โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่จำนวนเล็กน้อยลงไปการเตรียม ทำได้โดยการเติมกรดอ่อนลงในสารละลายเกลือของกรดอ่อน หรือการเติมเบสอ่อนลงในสารละลายเกลือของเบสอ่อน


1.การคุมค่า pH ของบัฟเฟอร์
บัฟเฟอร์Aมีสาร CH3COOH กับ CH3COO- อยู่ในระบบ
ถ้าใส่กรดลงไป HCl จะแตกให้ H+ แต่จะถูกสะเทินด้วยคู่เบส 
 CH3COO- + H+ CH3COOH
ถ้าใส่เบสลงไป NaOH จะแตกตัวให้ OH- แต่จะถูกสะเทินด้วยคู่กรด  
CH3COOH + OH- CH3COO- + H2O

2.การผสมสารละลายบัฟเฟอร์

2.1 วิธีตรง

1. นำกรดอ่อน + คู่เบสของกรดอ่อนนั้น
2. นำเบสอ่อน + คู่กรดของเบสอ่อนนั้น



2.2 วิธีอ้อม

1.นำเกลือของกรดอ่อน + กรดแก่ โดย เกลือของกรดอ่อนต้องเหลือในระบบ ส่วน กรดแก่หมด
2.นำเกลือของเบสอ่อน + เบสแก่ โดย เกลือของเบสอ่อนต้องเหลือในระบบ ส่วน เบสแก่หมด

อินดิเคเตอร์สำหรับกรด-เบส (Indicators for Acids and Bases) 

                  อินดิเคเตอร์ คือ สารที่ใช้ทดสอบความเป็นกรด เบสของสารต่าง ๆ และสีของสารนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อค่าความเป็นกรด - เบสเปลี่ยนไป
 

Indicator
pH Range
Acid
Base
Thymol Blue
1.2-2.8
red
yellow
Methyl yellow
2.9-4.0
red
yellow
Methyl orange
3.1-4.4
red
orange
Bromphenol blue
3.0-4.6
yellow
blue-violet
Tetrabromphenol blue
3.0-4.6
yellow
blue
Methyl red
4.4-6.2
red
yellow
Bromphenol blue
6.2-7.6
yellow
blue
Phenol red
6.4-8.0
yellow
red
Cresol red
7.2-8.8
yellow
red

ตารางแสดงการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์


การไทเทรต(Titration) 

                 การไทเทรต (Titration) คือ วิธีการทางปริมาณวิเคราะห์ (Quantitative Analysis) ใช้ในการหาปริมาตรของสารละลายมาตรฐาน (สารละลายที่เราทราบความเข้มข้นที่แน่นอนแล้ว) ที่ทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายอื่นซึ่งทราบปริมาตร แต่ยังไม่ทราบความเข้มข้น(Unknown) เพื่อนำค่าปริมาตรที่ได้มาคำนวณหาความเข้มข้นของสารละลายอื่นนั้น 

1.ปิเปตต์ Unknown มาใส่ในฟลาสก์(ขวดลูกชมพู่) 


2.นำ Unknown ไปไทไทรต 





1.จุดยุติและจุดสมมูล


จุดสมมูล หรือ จุดสะเทิน (Equivalence point) คือ คือจุดที่สารตั้งต้นทำปฏิกิริยากันพอดี

จุดยุติ (End point) คือจุดที่หยุดการไทเทรต ซึ่งก็คือจุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด-เบสอยู่ จุดยุติจะใกล้เคียงกับจุดสมมูลได้นั้น จะ ต้องเลือกอินดิเคเตอร์เหมาะสมในทางปฏิบัติถือว่าจุดยุติ เป็นจุดเดียวกับจุดสมมูล 

2.กราฟของการไทเทรต


กราฟการไทเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสแก่


กราฟการไทรเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน



กราฟการไทรเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่


บันทึกหลังคาบเรียน เทอม2/2553 Organic Chemistry


คาบเรียนที่ 1 วันศุกร์ ที่ 29 ต.ค. 2553 "เปิดบทละคร เรื่อง เคมีอินทรีย์"

เรื่องย่อ : วิชาที่ว่าด้วยสารประกอบของ C อยู่ในธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบของ สมชว.
ผู้แต่ง (บิดา Or Chem): เฟรดริค วอเลอร์ (Frieddrick Wohler) *จำนะจ๊ะ
ผลงาน ชิ้นสำคัญ ของผู้แต่ง: สังเคราะห์ Urea(อินทรีย์) ได้จาก Ammonium cyanate(อนินทรีย์) เมื่อปี 1852
พระเอกของเรื่อง : Carbon (C)
พระรอง(เบ๊พระเอก) : Hydrogen (H)
ตัวประกอบ : O,N,S,P,F,Cl,Br,I
เกี่ยวกับละคร : มี 3 ตอน
ตอนที่1 เฉพาะอะตอมของ C และ H
ตอนที่2 C ที่มีหมู่ฟังก์ัชัน
ตอนที่3 สารชีวโมเลกุล

รู้จักกับพระเอก  :

Carbon (C)

-เกาะ(สร้างพันธะ) กับธาตุอื่นได้ 4 พันธะ
-เกาะกันเอง ได้ 3 พันธะ
-ต่อกันเป็นโซ่ยาวๆ(โซ่เปิด) เรียก Chain
-ต่อกันเป็นวง(โซ่ปิด) เรียก Ring
-ต่อกันยาวๆแล้วมีกี่ก้านสาขาออกจากโซ่หลัก เรียก Branch
-มีการจัดเรียงแบ บ 1s2 2s2 2p2


การเกิดพันธะ : เกิดจากความอยากเสถียร(พลังงานต่ำๆ)ของธาตุหมู่ต่างๆ (ยกเว้นหมู่ 8)

การเกิด Hybridization : การจัดเรียงของ e-และการรวมออร์บิทอลจากชั้น 2s และ 2p กันใหม่เวลาเกิดพันธะ 

มี 3 แบบ

1.แบบ sp3 (Alkanes)

เป็นการรวมออร์บิทอล จาก 2s 1 ออร์บิทอล และ 2px 2py 2pz จำนวน 3 ออร์บิทอล เป็น 4 ออร์บิทอล อยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน เรียก ทั้ง4 ออร์บิทอลที่สร้างพันธะเดี่ยวว่า พันธะซิกมาและเรียก e- ที่มาสร้างพันธะ่ว่า อิลเ็ลตรอนซิกมา

ตัวอย่าง Methane ( CH4)


โครงสร้างแบบ sp3 มีแต่ Single Bond

Single Bond = 1 ซิกมา

2.แบบ sp2 (Alkenes)

เป็นการรวมออร์บิทอล จาก 2s 1 ออร์บิทอล และ 2px 2py จำนวน 2 ออร์บิทอล เป็น 3 ออร์บิทอล อยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน ส่วน 2pz ไว้สร้างพันธะที่เรียกว่า พันธะไพ และ e-ที่ใช้สร้างพันธะเรียก อิเล็กตรอนไพ

ตัวอย่าง Ethene ( C2H4 )


โครงสร้างแบบ sp2 มี Double Bond

Double  Bond = 1 ซิกมา 1 ไพ
 
3 .แบบ sp (Alkynes)      เป็นการรวมออร์บิทอล จาก 2s 1 ออร์บิทอล และ 2px จำนวน 1 ออร์บิทอล เป็น 2 ออร์บิทอล อยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน ส่วนอีก 2 ออร์บิทอล คือ 2py 2pz ไว้สร้างพันธะที่เรียกว่า พันธะไพ ตัวอย่าง Ethene ( C2H2 )
โครงสร้างแบบ sp มี Triple Bond
Triple  Bond = 1 ซิกมา 2 ไพ           
สรุปเล็กๆ  
- พันธะซิกมา ของ C-H สั้นและแข็งแรงกว่า C-C     
- จำนวนพันธะมาก ความแข็งแรงมาก แต่ความยาวจะน้อย 
- พันธะไพ อ่อนแอกว่าพันธะซิกมา
 
ทบทวนแรงระหว่างโมเลกุลจ้าา   
1. แวนเดอร์วาลส์ แบบลอนดอน (แรงของโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว)    
2. ไดโพล-ไดโพล (แรงของโคเวเลนต์มีขั้ว)    
3. พันธะไฮโดรเจน (แรงระหว่าง H กับ F,O,N )
  
การเขียนสูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์ (ต.ย. หน้า 7)   มี 4 แบบ ได้แก่  
1.สูตรโมเลกุล-บอกว่าประกอบด้วยธาตุอะไร? อย่างละเท่าไหร่?  
2.สูตรแบบจุด-แสดงการจับกันว่า ธาตุตัวไหนจับกับตัวไหน? กี่แขน? ยังไง?    
3.สูตรแบบย่อ-เขียนแบบย่อๆติดกันเป็นแถบ  
4.สูตรแบบเส้นและมุม-เขียนยึกยือขึ้นลง ไม่แสดงอะตอม C กับคู่ขา (H)        
คาบเรียนที่ 2 วันอังคาร ที่ 2 พ.ย. 2553 "Properties-Isomerism-Classification-Reaction-Bond Forming and cleavage"  
   
สมบัติทางกายภาพกับสูตรงโครงสร้าง
1.Melting-Boiling Point
เป็นการกระทำกันภายในตัวเอง(สารอื่นอย่ามายุ่ง) พลังงานที่เข้าไปจะไปทำลาย แรงยึดระหว่างโมเลกุลเท่านั้น ไม่ได้ทำให้พันธะหรือแรงยึดภายในโมเลกุลแตกออก เป็นผลให้สารนั้นยังตงเป็นสารเดิมเปลี่ยนเพียงแค่สถานะเท่านั้น
2.Solubility
การละลายเกิดจาสภาพขั้วเหมือนกัน สรุปได้
1.ไม่มีขั้วละลายกับไม่มีขั้ว
2.มีขั้วละลายกับมีขั้ว
3.ถ้ามีขั้วละลายแล้วเกิดพันธะH ถือว่า ละลายได้ดีมาก
Isomerism
1. Structural Isomer
- สูตรโมเลกุลเหมือน สูตรโครงสร้างต่าง แบ่งเป็น
          - Skeleton isomer
          - Positional isomer
          - Functional isomer
2. Stereo Isomer
- สูตรโมเลกุลเหมือน สูตรโครงสร้างเหมือน การเรียงตัวของ C ต่าง แบ่งเป็น
          -Enantiomer (เป็นเงาซึ่งกันและกัน แต่เงาไม่ทับกัน)
          -Diasteriomer (ไม่เป็นเงาซึ่งกันและกัน)
ประเภทของสารประกอบคาร์บอน
1. ลักษณะของการเกิดปฏิกิริยาเป็นเกณฑ์
- Saturated Hydrocarbon (อิ่มตัว) เป็นพันธะเดี่ยวทั้งหมด
- Unsaturated Hydrocarbon (ไม่อิ่มตัว) มีพันธะ  อย่างน้อย 1 พันธะ
2. ใช้โครงสร้างเป็นเกณฑ์
-Aliphatic Hydrocarbon (โซ่เปิด)
          - Straight Chain Structure (โซ่ตรง)
          - Branch Chain Structure (โซ่กิ่ง)
-Alicyclic Hydrocarbon (โซ่ปิด) C ทุกตัวในวงมีค่าเท่ากัน เมื่อไม่มีหมู่ฟังก์ชันเกาะ
-Aromatic Hydrocarbon (โซ่ปิดพิเศษ) เสถียรสุดๆ เพราะ เกิดเรโซแนนซ์ได้
จากสมการ     จำนวน(e-  = 4n+2
หาก n  I+   สรุปว่า วง C ที่เป็นโซ่ปิดนี้ เป็น Aromatic
-Heterocyclic (ในวงมีอย่างน้อย 1 มุม ที่ไม่ใช่ C)
3. ใช้หมู่ฟังก์ชันเป็นเกณฑ์
          หมู่ฟังก์ชันใช้ในการเรียกชื่อและจัดหมู่สารอินทรีย์
หมู่ฟังชันเรียงตามความสำคัญ
Organic Reaction มี 6 ประเภท ได้แก่
1.ปฏิกิริยาการแทนที่ (Substitution Reaction) พบเฉพาะสารประกอบยคาร์บอนที่อิ่มตัวแล้ว
2.ปฏิกิริยาการเติม (Addition Reaction) พบในสารประกอยคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัว เช่น Alkene, Alkyne
3.ปฏิกิริยาการขจัดออก (Elimination Reaction) การดึงเอาอะตอมใดๆออกจากโมเลกุล
4.ปฏิกิริยาการจัดเรียงตัวใหม่ (Rearrangement Reaction) การจัดเรียงตัวใหม่ในสภาวะที่เหมาะสม แต่สูตรโมเลกุลเหมือนเดิม
5.ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน (Polymerization Reaction) ทำให้สารประกอบ C มีโมเลกุลใหญ่ขึ้นโดยมีหมู่ซ้ำกัน
6.ปฏิกิริยาการแตกตัว (Cracking Reaction) การแตกตัวให้สารประกอบ C จากโมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็ก
การสร้างพันธะและการทำลายพันธะ(Bond Forming and Bond Cleavage)
การสร้างพันธะ
1.สร้างพันธะแบบเสมอภาค(Homolytic Forming) พันธะระหว่าง 2 อะตอม ใช้ e- อะตอมละ 1 ตัวร่วมกัน เกิด พันธะโคเวเลนต์ 1พันธะ
2.สร้างพันธะแบบไม่เสมอภาค(Heterolytic Forming) พันธะระหว่าง 2 อะตอม โดยอะตอมหนึ่งให้ e- 2 ตัวกับอีกอะตอมหนึ่งที่มีออร์ยิทอลว่าง เกิด พันธะโคเวเลนต์ 1พันธะ
การสลายพันธะ
1.สลายพันธะแบบเสมอภาค(Homolytic Cleavage) คืน e- กลับไปที่อะตอม อะตอมละ 1 ตัว เกิด อนุมูลอิสระ (Free Radical)
2.สลายพันธะแบบไม่เสมอภาค(Heterolytic Cleavage) การแตกพันธะโดยอะตอมที่ใช้ e- ร่วมกันอะตอมใดอะตอมหนึ่งดึง e- ไปทั้งคู่ เกิด อนุมูลประจุบวก (Cation) และอนุมูลประจุลบ (Anion) ขึ้นอยู่กับ EN เรียกว่าปฏิกิริยาไอออนิก